หน้าเว็บ

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

Unit 12 - What They Said

12.1 Reported Speech

          เมื่อจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง อาจมีวิธีพูดได้ 2 วิธี คือ
     1) โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech เช่น    John said, "I like Mathematics."
         ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech...อ่านต่อ


Unit 11 - If It Hadn't Happened

11.1 Should Have + Past Participle

          เวลาที่เราทำอะไรผิดพลาดไปแล้ว เรารู้สึกเสียใจ รู้สึกว่าไม่น่าที่จะทำอย่างนั้น หรือรู้สึกว่าน่าจะทำอย่างอื่นแทน ถ้าเป็นในสถานการณ์แบบนี้ ในภาษาอังกฤษเราสามารถใช้โครงสร้างประโยค should have เพื่อที่จะแสดงความรู้สึกนี้ออกมาได้ครับอ่านต่อ



Unit 10 - I Wonder What Happened

10.1 Past Perfect Tense

          หลักการใช้ Past Perfect Tense
     1) ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น และสิ้นสุดลงแล้วในอดีตทั้ง2เหตุการณ์ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งได้สิ้นสุดลงก่อนหน้าอีกเหตุการณ์ โดยอ่านต่อ



Unit 9 - Complaints, Complaints

9.1 Causative Form

          ในภาษาอังกฤษจะมีประโยคแบบพิเศษอยู่แบบหนึ่ง ซึ่งประธานของประโยคไม่ได้เป็นคนทำการกระทำนั้นด้วยตัวเอง แต่ให้บุคคลอื่นทำการกระทำต่างๆ ให้ตัวเอง เช่น หากเราจะไปตัดผม (โดยให้ช่างตัดผมตัดให้) เราจะไม่สามารถพูดว่า I will cut my hair. ได้ เพราะคนฟังจะเข้าใจผิดว่าเราจะทำการตัดผมของเราด้วยตัวเราเอง...อ่านต่อ



Unit 8 - Wishful Thinking

8.1 Conditional Sentences

           Conditional sentences หรือที่หลายคนรู้จักในนาม if-clause คือ ประโยคเงื่อนไข ประกอบด้วยอนุประโยค (ประโยคย่อย) สองประโยค ประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า If กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไป...อ่านต่อ



Unit 7 - You've Got Mail!

7.1 Preposition + Gerund

          Preposition หรือคำบุพบทคือ คำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม หรือเชื่อมคำนามกับวลี/ประโยค โดยจะมีอยู่ประมาณ 40 กว่าคำที่ใช้บ่อย และการใช้ preposition จะแบ่งออกเป็น 3 วิธี ดังนี้...อ่านต่อ



Unit 6 - Take My Advice

6.1 Modal Auxiliaries

          Modal verb หรือกริยาช่วย อันได้แก่ can, could, may, might, will และ would  ฯลฯ นั้น ทำหน้าที่ได้ 2 ประการ คือ 1) ใช้แสดง ความเป็นไปได้และ 2) ใช้แสดงมารยาททางสังคมต่างๆ...อ่านต่อ 


Unit 5 - Did You Hurt Yourself?

5.1 Reflexive Pronoun

          Reflexive pronouns หมายถึง สรรพนามที่สะท้อนกลับไปยังคำนามหรือสรรพนามที่ทำหน้าที่ประธานในประโยค ข้อสังเกตของสรรพนามประเภทนี้คือลงท้ายด้วย -self ถ้าเป็นเอกพจน์ หรือ -selves ถ้าเป็นพหูพจน์ ได้แก่...อ่านต่อ 



Unit 4 - The Art of Advertising

4.1 The Passive

          Passive Voice คือ โครงสร้างประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งกริยาหลักจะอยู่ในรูปของ กริยาช่วยbe + V3 มาดูกันครับว่าในแต่ละ Tense นั้น Passive Voice จะมีรูปแบบอย่างไรบ้าง...อ่านต่อ



Unit 3 - What Will Be, Will Be

3.1 Future with Will or Be Going To

           ลองมาเปรียบเทียบ will และ going to ซึ่งดูแล้วมีความหมายคล้ายๆกัน Will กับ going to ถ้าแปลความหมายตรงๆตามพจนานุกรม อังกฤษ ไทย ทั่วไปจะพบว่าทั้งสองคำมีความหมายว่า จะซึ่งในความเป็นจริงแล้วสองคำนี้มีหลักการใช้ที่แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย...อ่านต่อ



Unit 2 - Careers

2.1 Present Perfect Progressive versus Present Perfect Simple

          รูป (form ฟอม) ของ Present Perfect คิอ
     have/has + past participle
          ส่วนรูป (
form ฟอม) ของ Present Perfect Continuous คือ
     have been/has been + V.ing ...อ่านต่อ


Unit 1 - Big Changes

1.1 Present Simple Tense

          
หลักการใช้ Present Simple Tense

    1) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูดเช่น
                Ann watches television.
                Ron takes a bath in the bathroom
...
อ่านต่อ


วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

Phrasal verbs (two-word verbs)
   คือ การใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ส่วนประกอบ เมื่อ verb+ preposition or particle มารวมกันเป็น Phrasal verbs แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ

หลักสำคัญในการใช้
Phrasal Verbs หรือ Two-Word Verbs
1.เมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น
   - please come in.
   - Don't give up, whatever happens.
2. เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น
   - I can't make it out. (right)
   - I can't make out it.(wrong)
3. เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้        (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น
   - Turn on the light.  หรือ  - Turn the light on.
4. ตามข้อ 3 ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clause ขยายต้องวางobject ไว้หลัง adverb เช่น
   - He gave away every book that he possesed. (right)
   - He gave every book that he possesed away. (wrong)
5. ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วาง adverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้
   5.1 ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น
      -Off went john! = John went off.
   5.2 ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น
      -Away they went ! = They went away.




ประเภทของ Phrasal verbs
1. Inseparable Verbs with no objects  คือ phrasal verb ที่ต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ต้องมีกรรม เช่น
   set off ออกเดินทาง          Speed up เร่งความเร็ว
   Wake up ตื่นนอน            Stand up ยืนขึ้น
   Come in เข้ามาถึง           Get on ขึ้น (รถ) / เข้ากันได้
   Carry on ทำต่อไป           Find out เรียนรู้
   Grow up เติบโต              Turn up ปรากฏตัว
2. Inseparable Verbs with objects คือ phrasal verb ที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่ต้องมีกรรม เช่น
   Look after เลี้ยงดู                                Look into สอบถาม ตรวจสอบ
   Run into ชน                                        Come across พบโดยบังเอิญ
   Take after เหมือนถอดแบบ                  Deal with ติดต่อ เกี่ยวข้อง
   Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน         Cope with จัดการ
3. Separable verbs คือ ที่แยกจากกันได้ มักจะต้องการกรรม
   Turn on เปิด(ไฟ)             Turn off ปิด (ไฟ)
   Turn down หรี่ (เสียง)     Swith off ปิด
   Look up มองหา              Take off ถอด ออกดินทาง
4. Three-Word Phrasal Verbs  คือ phrasal verb ที่ไม่มีกรรมและบางครั้งมีการใช้บุพบทมากกว่า 1 ตัว เช่น
   Get on with ทำต่อไป ไม่หยุด                  Cut down on ลดปริมาณลง
   Look out for เตรียมพร้อม                      Catch up with ตามทัน
   Run out of หมด                                     Get down to เอาจริงเอาจัง
   Stand up for ปกป้อง เดือดร้อนแทน         Look down to ดูถูก
   Look up to ยอมรับนับถือ                        Put up with อดทน
   Look out on มองออกไป